วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข่าวสาร 22/2/2554

ลูกกัดดาฟี' กร้าว ฆ่าเป็นพัน ถ้าไม่ยุติประท้วง
จะยิงจนกระสุนนัดสุดท้าย ตอนนี้ยอดตายแล้ว233ศพทูตลิเบียลาออกต่อต้านรัฐ

กระแสประท้วงโค่นเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตยในดินแดนอาหรับยังระอุ โดยเฉพาะที่ลิเบีย นับวันยิ่งเดือด หลังรัฐบาล กัดดาฟีใช้ทหารออกปราบไล่ยิงผู้ชุมนุมตายแล้ว 233 ศพ เจ็บเพียบแม้แต่ทูตลิเบียในหลายประเทศยังทนไม่ได้  ประกาศลาออกมาร่วมประท้วงรัฐบาลตัวเอง เหตุจ้างทหารต่างชาติมาเด็ดหัวคนในชาติ  ขณะที่ครอบครัวแรงงานไทยเผยสถานการณ์ในพื้นที่สุดอันตราย ผู้ประท้วงเตรียมเผาเมือง ระบุแม้จะมีเครื่องบินไปรับกลับ แต่ก็ต้องเสี่ยงชีวิตจากที่พักไปสนามบิน ขณะเดียวกัน อีกหลายสิบประเทศการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงทางการเมืองยังคุ และลุกลามสู่ประเทศอื่นๆไม่หยุด

สำนักข่าวต่างประเทศเกาะติดสถานการณ์ประชาชนในประเทศแถบแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลและเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงซึ่งขณะนี้มีอยู่ถึง 14 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ชาวลิเบียลุกฮือประท้วงขับไล่โค่นอำนาจพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำผูกขาดอำนาจปกครองประเทศลิเบียมานานถึง 42 ปี ถือว่าสถานการณ์รุนแรงที่สุด โดยตลอดช่วงการประท้วงโค่นอำนาจนายกัดดาฟีที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 21 ก.พ. มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 233 ราย บาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของลิเบียใช้อาวุธปืนนานาชนิดกราดยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลอย่างไร้ความปรานี ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มคนผู้ร่วมแสดงความอาลัยในพิธีศพเหยื่อเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาล โดยมีรายงานว่าผู้เสียชีวิต เฉพาะในวันที่ 2 ของการประท้วงรัฐบาล ที่บริเวณเมืองเบนกาซี เมืองใหญ่ อันดับ 2 ของประเทศ เพียงวันเดียวมากกว่า 60 ศพ

นอกจากนี้ นายซาอิฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี ลูกชายนายกัดดาฟี ยังได้ออกมากล่าวสุนทรพจน์ผ่านทางโทรทัศน์แห่งชาติเป็นครั้งแรก เมื่อคืนวันที่ 20 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น โดยประกาศกร้าวว่าลิเบียอาจต้องเผชิญสภาพสงครามกลางเมือง ถ้ากลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลไม่ยอมรับข้อเสนอปฏิรูปการเมืองจากฝ่ายรัฐบาล

"ลิเบียกำลังเข้าสู่ทางแยกสำคัญ ถ้าวันนี้พวกเราทุกคนไม่ยอมรับการปฏิรูป ผู้คนล้มตายจะไม่ใช่แค่ 84 ศพ แต่อาจเป็นหลายพันคน แม่น้ำสายเลือดจะไหลท่วมท้น ทั้งประเทศ นี่คือการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านหวังโค่นอำนาจรัฐบาล คือภัยคุกคามเอกภาพของประเทศ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้อาวุธ เราจะสู้จนหมดกระสุนปืนนัดสุดท้าย หรือเหลือทหารคนสุดท้าย แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ใครก็ตามที่ถืออาวุธจะต้องถูกฆ่า ลิเบียไม่ใช่อียิปต์ ไม่ใช่ตูนิเซีย ความพยายามปฏิวัติรัฐบาลผ่านเฟซบุ๊กต้องถูกต่อต้านอย่างรุนแรง เราจะไม่ปล่อยลิเบียให้ตกเป็นของอิตาลี หรือของชาวเติร์ก" นายซาอิฟกล่าว

ข่าวแจ้งว่า สถานการณ์ประท้วงก่อจลาจลในลิเบียยังลุกลามต่อเนื่อง มีรายงานกลุ่มคนราว 500 คน ยกกำลังบุกปล้นสะดมพื้นที่ก่อสร้างของบริษัทเกาหลีใต้ ใกล้กรุงตริโปลี ทำร้ายแรงงานชาวบังกลาเทศบาดเจ็บ 15 ราย ชาวเกาหลีใต้ บาดเจ็บ 3 ราย ทั้งยังมีเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ต่อต้านและสนับสนุนพันเอก
กัดดาฟีในหลายพื้นที่ทั่วกรุงตริโปลี นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า อาคารที่ทำการของรัฐบาลหลายแห่งถูกเผา กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลยังบุกทำลายอาคารสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุของรัฐหลายแห่ง

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่านายอับเดล โมเนอิม อัล-โฮนี ทูตพิเศษของลิเบียประจำสันนิบาตชาติอาหรับ 22 ประเทศ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อร่วมอุดมการณ์กับกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลนายกัดดาฟี เช่นเดียวกับนายฮุสเซน ซาดิค อัล มุสราตี ทูตลิเบียประจำประเทศจีน และนายอาลี อัล-อิสซาวี ทูตลิเบียประจำอินเดีย ขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อประท้วงรัฐบาลลิเบียที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน ทั้งยังยืมมือทหารรับจ้างต่างชาติเข้ามาเข่นฆ่าชาวลิเบียถึงในประเทศ

ขณะที่ปฏิกิริยาจากนานาชาติต่อสถานการณ์รุนแรงในลิเบีย รัฐบาลสหรัฐอเมริกาแถลงเรียกร้องให้รัฐบาลลิเบียหยุดใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯอยู่ระหว่างวิเคราะห์คำพูดท่าทีของลูกชายนายกัดดาฟีว่ามีความจริงใจต่อการปฏิรูปการเมืองการปกครองมากน้อยเพียงใด ส่วนสหภาพยุโรปจัดประชุม รมว.ต่างประเทศ ร่วมประณามรัฐบาลลิเบียใช้ความรุนแรงกดขี่ปราบปรามผู้ประท้วงรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสเรียกร้องประชาคมโลกให้ช่วยหันเหสภาพสงครามกลางเมืองออกไปจากลิเบีย เช่นเดียวกับนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องยุติความรุนแรงในลิเบีย และให้รัฐบาลเคารพสิทธิเสรีภาพประชาชน ขณะเดียวกัน รัฐบาลนานาประเทศ ตั้งแต่สหรัฐฯ ออสเตรเลีย บราซิล ฟิลิปปินส์ และตูนิเซีย ต่างเตือนพลเมืองของตนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าลิเบีย รวมถึงระมัดระวังการเดินเข้าประเทศแถบตะวัน–ออกกลางและทวีปแอฟริกาเหนือ ซึ่งมีปัญหาการประท้วงรัฐบาล

นอกจากนี้ วันเดียวกัน ครอบครัวของแรงงานไทยในลิเบียออกมาเปิดเผยถึงสภาพความเป็นอยู่ของคนไทยในลิเบียขณะนี้ว่า มีความเป็นอยู่ยากลำบากและเสี่ยงอันตราย โดยนางอุบลรัตน์ เอมอยู่ อายุ 40 ปี ชาวตำบลตากออก อ.บ้านตาก จ.ตาก ภรรยาคนงานในประเทศลิเบีย กล่าวว่า สามีไปทำงานได้ประมาณ 6 เดือน ขณะนี้ติดต่อทางโทรศัพท์ยากมาก ล่าสุดสามีบอกว่าออกไปไหนไม่ได้มีแต่อันตราย ต้องอยู่แต่ในแคมป์ การกินอยู่ลำบากมาก ส่วนนางจันทร์วัน ราชสอด อายุ 47 ปี ชาวตำบลตากออกเช่นกัน เปิดเผยว่า สามีชื่อนายเทียน ราชสอด อายุ 45 ปี ไปทำงานที่ประเทศดังกล่าวพร้อมกับสามีของนางอุบลรัตน์ ตอนนี้อยากให้สามีกลับประเทศไทย เพราะทราบว่าอันตรายมาก ด้านนางยุพิน ชัยชนะ อายุ 45 ปี กล่าวว่า สามีชื่อนายมงคล ชัยชนะ อายุ 38 ปี ไปทำงานเป็นหัวหน้าคนงาน ติดต่อกับสามีทราบว่า พื้นที่ที่อยู่อันตรายอย่างมาก เพราะผู้ประท้วงได้ราดน้ำมันเตรียมเผาเมือง และในคืนวันที่ 21 ก.พ.  จะมีเครื่องบิน 3 ลำ ไปรับที่สนามบินใกล้ที่ทำงาน แต่ทุกคนต้องเสี่ยงชีวิตวิ่งไปขึ้นเครื่องที่สนามบินไกล ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร

ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในอีกหลายประเทศ เช่น ในบาห์เรน ยังคงมีประชาชนปักหลักกางเต็นท์ประท้วงรัฐบาลบริเวณจัตุรัสเพิร์ล กลางกรุงมานามา หลังเหตุปะทะรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย กระทั่งต่อมา ชีค ซัลมาน บิน ฮาหมัด อัล-คาลีฟา เจ้าชายแห่งราชวงศ์อัล-คาลีฟา แห่งบารห์เรน เร่งให้ทุกฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ย กระนั้น กลุ่ม ส.ส.ฝ่ายค้านยังต้องการให้เจ้าชายส่งสาส์น หรือแสดงสัญญาณที่ชัดเจนเรื่องการปฏิรูปการเมืองให้อำนาจประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลโดยตรง รวมถึงปล่อยนักโทษการเมือง ก่อนตกลงร่วมโต๊ะเจรจากัน

เช่นเดียวกับเหตุวุ่นวายในจอร์แดน กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดน ทรงวอนให้รัฐบาลรีบปฏิรูปเพิ่มบทบาทบริหารประเทศกับประชาชน รวมถึงเพิ่มเสรี–ภาพทางการเมืองและเร่งปราบปรามคอรัปชัน "ให้เร็วและจริงจังจริงใจ" กระนั้น พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงการลิดรอนอำนาจของพระองค์ที่มีต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะทำงานในสภา

ส่วนในเยเมน ประธานาธิบดี อาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ เสนอขอเจรจากับฝ่ายค้านที่เรียกร้องให้นายซาเลห์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา แต่กลับปกครองประเทศยากจนที่สุดในโลกอาหรับมานานถึง 32 ปีลาออกสถานเดียว ไม่สนใจคำมั่นสัญญาของนายซาเลห์ที่ว่าจะไม่ลงสมัครเลือกตั้งอีกใน 2 ปีข้างหน้า รวมถึงไม่ตั้งลูกชายสืบทอดอำนาจทางการเมือง

ขณะเดียวกัน การประท้วงในโมร็อกโก ถือเป็นประเทศล่าสุดในแอฟริกาเหนือ ที่ประชาชน 2,000-3,000 คน ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล รวมถึงการประท้วงในอีกหลายหัวเมือง เพื่อขอให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น โดยร้องตะโกนขอเปิดโอกาสให้ประชาชนในด้านเศรษฐกิจ ปฏิรูปการศึกษา บริการสุขอนามัยที่ดีขึ้น และแก้ปัญหาราคาสินค้าแพง อีกทั้งกดดันกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 6 ให้ทรงลดบทบาททางการเมือง แม้ภาพลักษณ์ของพระองค์ทรงเป็นนักปฏิรูป แต่ยังทรงกุมอำนาจในหน่วยงานรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ

ขณะที่ ตูนิเซีย รัฐบาลชั่วคราว ได้ถามไปยังรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับอาการป่วยของอดีตผู้นำตูนิเซีย นายซิเน เอล อาบิดีน เบน อาลี ซึ่งอยู่ในขั้นโคม่า โดยขอให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียส่งตัวนายเบน อา–ลี กลับประเทศเพื่อดำเนินคดี ทั้งที่รัฐบาลชั่วคราวของตูนิเซียเอง ยังถูกประชาชนออกมาเคลื่อนไหวประท้วงเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาล ขณะเดียวกัน มีเหตุประท้วงรัฐบาลในอีกหลายประเทศ ตั้งแต่โอมาน คูเวต อิหร่าน แอลจีเรีย ดาจิบูติ และซีเรีย ขณะที่สถานการณ์ประท้วงในอียิปต์เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ธนาคาร สถาบันการเงินและแหล่งท่องเที่ยวเริ่มเปิดให้บริการและรับนักท่องเที่ยวบ้างแล้ว แม้ยังมีการชุมนุมของคนกลุ่มเล็กๆ คอยติดตามท่าทีดำเนินการของรัฐบาลชั่วคราว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น